หลังจากที่ Apple เปิดตัว Apple Watch Series 11 มาทางเราได้มีโอกาสมารีวิวหลังจากทดลองใช้มา 1 สัปดาห์กว่าๆ หลังจากลองใช้แล้ว เรียกได้ว่า “สมาร์ตวอทช์เพื่อสุขภาพ” นั้นไม่เกินจริง ด้วยฟังก์ชั่นและการผสานดีไซน์อันหรูหราเข้ากับเทคโนโลยีล้ำสมัย ทั้งฟีเจอร์การติดตามสุขภาพที่แม่นยำขึ้น การเชื่อมต่อที่รวดเร็วด้วย 5G และฟังก์ชันใหม่ที่ช่วยให้การใช้ชีวิตประจำวันง่ายและฉลาดยิ่งขึ้น

ซึ่ง Series 11 ยังคงมาในดีไซน์ขนาด 42 มม. และ 46 มม. (ในรูปเป็นขนาด 46 มม.) โดดเด่นด้วยตัวเรือนอะลูมิเนียมสีใหม่ Space Grey Aluminiumพร้อมกระจก Ion-X ที่ทนรอยขีดข่วนได้ดีขึ้นกว่าเดิมถึง 2 เท่า ขับเคลื่อนด้วยชิปประมวลผลรุ่นล่าสุดที่เพิ่มประสิทธิภาพและประหยัดพลังงานขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และยังดีไซน์ที่บางเบาและสวมใส่สบาย จึงใส่เข้านอนได้สะดวกกว่าที่เคย


เริ่มกันที่หน้าปัดใหม่ 2 แบบอย่าง Flow และ Exactograph ที่โดดเด่นด้วยดีไซน์ตัวเลขแบบ Liquid Glass ที่สะท้อนเฉดสีอย่างสวยงาม เปลี่ยนแปลงตามการเคลื่อนไหวของข้อมือ และหน้าปัด Exactograph ตีความนาฬิกา Regulator คลาสสิกในรูปแบบใหม่ แสดงชั่วโมง นาที และวินาทีแยกกันอย่างแม่นยำ



ฟีเจอร์ใหม่ที่ตอบโจทย์ในด้านสุขภาพ Apple ได้เพิ่มฟีเจอร์ใหม่ที่ตอบโจทย์ทั้งผู้รักสุขภาพและผู้ที่ใส่ใจคุณภาพชีวิตอย่างลึกอย่างการ
- “การแจ้งเตือนภาวะความดันโลหิตสูง” (Hypertension Notifications) ซึ่งใช้เซนเซอร์วัดแบบออปติคอลร่วมกับอัลกอริธึมประเมินจากข้อมูล 30 วัน เพื่อแจ้งเตือนหากมีแนวโน้มของภาวะความดันโลหิตสูง
- “คะแนนคุณภาพการนอน” (Sleep Score) ประเมินจากปัจจัยหลายด้าน เช่น ระยะเวลานอน ความสม่ำเสมอของช่วงเวลา การตื่นกลางดึก และระยะเวลาของแต่ละช่วงการนอน เพื่อให้คุณเข้าใจ “คุณภาพ” ของการพักผ่อนมากกว่าปริมาณเพียงอย่างเดียว
- มีเซนเซอร์ตรวจวัดออกซิเจนในเลือด (SpO₂), อัตราการเต้นของหัวใจ, อุณหภูมิข้อมือในขณะนอน และข้อมูลสุขภาพอื่นๆ ที่สามารถสรุปรวมได้ในแอป Vitals เพื่อมองภาพรวมของสุขภาพคุณได้แบบวันต่อวัน



แต่สิ่งที่ชอบเลยคือพร้อมแบตเตอรี่ที่ใช้งานได้นานสูงสุด 24 ชั่วโมงพร้อมยังรองรับการชาร์จเร็ว จึงใช้งานได้นานสูงสุด 8 ชั่วโมงด้วยการชาร์จเพียง 15 นาที และเมื่อเปิดโหมด Low Power สามารถอยู่ได้ถึง 38 ชั่วโมงเลย ตอบโจทย์การสวมใส่ได้ทั้งวันทั้งคืนโดยไม่สะดุด และยังรองรับการเชื่อมต่อความเร็วสูงระดับ 5G ในรุ่น Cellular ทำให้สามารถดาวน์โหลดเพลง พ็อดคาสท์ หรือแอปพลิเคชันต่างๆ ได้รวดเร็วกว่าเดิม


ปิดท้ายกันไปด้วยฟังก์ชั่น Hold Assist และ Call Screening ฟีเจอร์ใหม่ อย่าง Hold Assist เป็นการแจ้งเตือนผู้ใช้ เมื่อมีการโทรและต้องรอสายระบบอัตโนมัติเช่นการโทรหา Call Center ที่ต้องรอสายนาน ซึ่งผู้ใช้สามารถกดปุ่มพัก (Hold) ไว้ เพื่อพักสาย และสามารถทำกิจกรรมอย่างอื่นได้อย่างไม่มีสะดุด เมื่อถึงคิวให้บริการแล้วแอปก็จะแจ้งเตือนให้ทราบว่าพร้อมให้บริการแล้ว นั่นเอง ส่วน Call Screening ช่วยจัดการสายจากหมายเลขที่ไม่รู้จัก โดยให้ระบบสอบถามชื่อและเหตุผลก่อนเสียงเรียกดัง เพื่อให้ผู้ใช้เลือกได้ว่าจะรับสาย ปฏิเสธ หรือขอข้อมูลเพิ่ม

Apple Watch Series 11 คือสมาร์ตวอทช์ที่ “ครบเครื่อง” สำหรับคนที่ต้องการดูแลสุขภาพในทุกมิติ พร้อมรับการใช้งานแบบทั้งวันทั้งคืนได้อย่างมั่นใจ ด้วยแบตเตอรี่ยาวนานขึ้น, การเชื่อมต่อ 5G, กระจกที่ทนทานขึ้น และฟีเจอร์สุขภาพที่ลึกขึ้น มันไม่ใช่แค่ “นาฬิกา” อีกต่อไป แต่คือผู้ช่วยด้านสุขภาพและการใช้ชีวิตในยุคดิจิทัล Apple Watch Series 11 จึงไม่เพียงเป็นสมาร์ตวอทช์ แต่คือ “ผู้ช่วยส่วนตัวด้านสุขภาพและการใช้ชีวิต”